Science Experiences Management for Early Childhood
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์จินตนา สุขสำราญ
อาจารย์ผู้สอน อาจารย์จินตนา สุขสำราญ
2.ตัดกระดาษจนถึงครึ่งหนึ่งของกระดาษ |
3. จากนั้นใช้คลิปหนีบ |
4.เสร็จแล้วผลงานของดิฉัน |
จากนั้นเป็นกิจกรรมนำเสนอบทความของเพื่อนๆ
สารเคมีต่างๆที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ของกินของใช้ประจำบ้านเรา เช่น ผงซักฟอก สบู่ก้อน น้ำยาล้างจาน น้ำส้มสายชู บางอย่างก็มี
ความเป็นกรด(รสเปรี้ยว) บางอย่างเป็นด่าง(รสฝาด) เราสามารถทดสอบกรด-ด่างได้อย่างปลอดภัยไม่ต้องชิมรส ..ก็ของบางอย่าง
กินไม่ได้นี่นา เริ่มการทดลองกันเลย
ความเป็นกรด(รสเปรี้ยว) บางอย่างเป็นด่าง(รสฝาด) เราสามารถทดสอบกรด-ด่างได้อย่างปลอดภัยไม่ต้องชิมรส ..ก็ของบางอย่าง
กินไม่ได้นี่นา เริ่มการทดลองกันเลย
สิ่งที่ต้องใช้
1. ดอกอัญชัน(สีน้ำเงิน) 15 ดอก
2. นำร้อน
3. ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการทดสอบ เช่น สบู่ก้อนต้ดเป็นชิ้นเล็กๆ น้ำมะนาว ผงซักฟอก น้ำส้มสายชู น้ำยา ล้างจาน
2. นำร้อน
3. ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการทดสอบ เช่น สบู่ก้อนต้ดเป็นชิ้นเล็กๆ น้ำมะนาว ผงซักฟอก น้ำส้มสายชู น้ำยา ล้างจาน
วิธีทดลอง
- นำดอกอัญชันมาแช่ในน้ำร้อนสักครู่ จะสังเกตว่ามีสีน้ำเงินละลายออกมาจากกลีบดอกทิ้งไว้จนกลีบดอกซีดจึงตักขึ้น
- นำน้ำสีน้ำเงินที่ได้แบ่งใส่แก้วใสตามจำนวนผลิตภัณฑ์ที่ต้องการทดสอบ และอย่าลืมเหลือสีเดิมไว้เปรียบเทียบด้วยนะ
- ติดป้ายชื่อผลิตภัณฑ์ บนแก้วแต่ละใบเพื่อจะได้ไม่สับสนตอนบันทึกผลการทดลอง
เพราะอะไรกันนะ
น้ำสีน้ำเงินของดอกอัญชัน สามารถเป็นอินดิเคเตอร์ วัดความเป็นกรด-ด่างได้ โดยสารที่เป็นกรดจะทำให้น้ำเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดง
สารที่เป็นด่างจะทำให้น้ำเปลี่ยนเป็นสีเขียว
สารที่เป็นด่างจะทำให้น้ำเปลี่ยนเป็นสีเขียว
วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
ผู้แต่ง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัญชลี ไสยวรรณ
เด็กเล็กๆมีธรรมชาติที่เป็นผู้ความอยากรู้อยากเห็น ชอบใช้คำถามว่า ทำไม อย่างไรสามารถแสวงหาความรู้จากสิ่งต่างๆรอบตัวเขาและเริ่มเข้าใจสภาพแวดล้อมที่เขาอาศัยอยู่ เด็กสามารถสังเกตและสื่อสารเกี่ยวเรื่องดิน หิน อากาศและท้องฟ้า เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุ พลังงานจากแม่เหล็ก แสงและเสียง เด็กสามารถสำรวจลักษณะของน้ำและความร้อน สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กปฐมวัยเริ่มการทำงานทางวิทยาศาสตร์ เด็กสามารถแก้ปัญหาต่างๆโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการเรียนรู้เรื่องอื่นๆได้มากมาย กิจกรรมวิทยาศาสตร์ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาโดยทำให้เด็กได้รับความรู้ พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เช่น การสังเกต การจำแนกประเภท การเรียงลำดับ การวัด การคาดคะแน และการสื่อสาร รวมทั้งทักษะการแสวงหาความรู้ กิจกรรมวิทยาศาสตร์ทำให้เด็กสนใจวัตถุและเหตุการณ์ เด็กเล็กมีวิธีการเรียนรู้คล้ายนักวิทยาศาสตร์สามารถทำงานด้วยทักษะการแสวงหาความรู้ กิจกรรมวิทยาศาสตร์ส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และพัฒนาการทางอารมณ์เช่นเด็กมีความรู้สึกและเจตคติทางบวก
ครูสอนเรื่องอากาศให้ลูกที่โรงเรียนอย่างไร?
กิจกรรมวิทยาศาสตร์ในห้องเรียนเด็กปฐมวัยมีความสำคัญหลายประการดังนี้
- ส่งเสริมการเห็นคุณค่าของตนเองและมีความกระตือรือร้น (คือเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้)
- ส่งเสริมการทำงานรายบุคคลและการคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาของเด็ก
- ยอมรับรูปแบบการเรียนรู้จากวัสดุอุปกรณ์ซึ่งจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่เป็นธรรมชาติ การรับรู้และความพยายามของเด็กหลายคนจากการมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมมีความสำคัญต่อการรับรู้ชีวิต เรียนรู้ภาษาจากประสบการณ์การทำกิจกรรมวิทยาศาสตร์
- เพื่อเป็นการช่วยอธิบายความเข้าใจด้วยตัวเองของเด็ก
- ดูแลเอาใจใส่ต่อพฤติกรรมของเด็กที่ปรากฎ เช่น การแสดงความกังวลใจ เด็กที่เกิดความเบื่อ
- กิจกรรมการค้นพบช่วยให้ผู้เรียนสนใจใฝ่รู้ อยากสืบค้นต่อไป
- ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพทางสติปัญญาของเด็กจากการเรียนรู้ที่เด็กได้สัมผัสกับวัสดุอุปกรณ์ ทำให้เด็กมีแรงจูงใจในการทำกิจกรรมที่มีความยากขึ้น เด็กได้เรียนรู้ภาษาและเนื้อหาสาระแบบบูรณาการ เช่น วิธีการได้รับประสบการณ์ทางภาษาแบบธรรมชาติต่อการอ่าน วิธีการสอนแบบโครงการต่อการพัฒนาหลักสูตร การใช้ประสาทสัมผัส และการใช้กล้ามเนื้ออย่างเหมาะสมกับวัย
ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องอากาศจากสาระที่ควรรู้ ได้แก่ อากาศคืออะไร อยู่ที่ไหน เกิดได้อย่างไร เราใช้ประโยชน์จากอา กาศอย่างไรบ้าง ปัญหาอากาศเสีย วิธีการรักษาอากาศดีๆ มีเครื่องมือ เครื่องใช้ ของเล่นอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับอากาศ ฯลฯ โดยครูจัดในกิจกรรมหลักทั้งหกตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 จัดลักษณะบูรณาการ เพื่อให้เด็กได้หลาก หลายความรู้และทักษะได้ดังตัวอย่างนี้
- กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ ให้เด็กแสดงท่าทางตามคำบรรยาย ความว่า .. วันนี้เด็กๆจะได้เรียนรู้เรื่องเทอร์โมมิ เตอร์ เป็นเครื่องมือวัดอุณหภูมิของอากาศ ให้เด็กทำท่าทางสมมติว่า ตนเป็นของเหลวชนิดพิเศษที่ขยายตัวโตขึ้นเวลาอากาศร้อน และหดตัวลงเมื่ออากาศเย็น กำลังไหลเข้าไปในหลอดแก้วนั้น ลงไปอยู่ในกระเปาะกลมๆ เล็กๆ ที่อยู่ปลายหลอดแก้วนั้น และยืนตัวตรงอยู่ในหลอดแก้วนั้น ลงไปอีก)
- กิจกรรมเสริมประสบการณ์ การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ จะเป็นการส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ธรรมชาติรอบตัว อย่างมีจุดมุ่งหมาย ที่จะฝึกให้เด็กได้คิดอย่างมีเหตุผล ได้เข้าสังคม ได้ใช้ภาษา ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ที่เน้นให้เด็กปฐม วัยเรียนรู้จากการกระทำด้วยตนเอง ในที่นี้เสนอการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะแก่การบูรณาการ ในกิจกรรมเสริมประ สบการณ์
- กิจกรรมสร้างสรรค์ กลุ่มงานประดิษฐ์ ให้เด็กๆช่วยกันทำพวงแขวนจากกระดาษหนังสือพิมพ์ ทำเป็นรูปก้อนเมฆ ประกบกันเป็นคู่ ทากาว ภายในอัดเศษกระดาษ กลางก้อนเมฆ เพื่อทำให้ก้อนเมฆนูน ป่องสวยงาม แขวนกับไม้แขวนเสื้อ แล้วนำไปแขวนที่ระเบียง หรือหน้าต่าง ให้เด็กเฝ้าสังเกตก้อนเมฆที่แกว่งไปมาเพราะลมพัดผ่าน
- กิจกรรมกลางแจ้ง เล่นเกม ลมพัด กำหนดเป็นคำสั่ง หากครูพูดว่า ลมพัดไปทางนั้น ให้เด็กๆวิ่งรอบๆต้นไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆลานที่เล่น แต่ถ้าครูพูดว่า ลมพัดมาทางนี้ ให้เด็กๆวิ่งมาเข้าวงกลมที่ครูขีดเส้นไว้ หากใครวิ่งผิดกติกา ให้มาอยู่ข้างครูก่อน การเล่นกลางแจ้ง ครูดัดแปลงกฎกติกาได้ แต่ควรมีเรื่องธรรมชาติของอากาศเป็นเนื้อหา ที่เด็กเรียนรู้ไปพร้อมกับการเล่นไปด้วย
- กิจกรรมเสรี ครูจัดมุมการเรียนรู้ เพิ่มพูนความรู้ และสนับสนุนการเล่น เพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเองให้แก่เด็กเรื่องอากาศ ได้หลายมุม เช่น
- มุมดนตรี เปิดเทปเพลงลม
- มุมหนังสือ จัดหาหนังสือเรื่องเกี่ยวกับอากาศ มาให้เด็กๆได้อ่าน
กิจกรรมการเรียนรู้จากกิจกรรมหลักทั้งหกเกี่ยวกับเรื่องอากาศ เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเด็ก และอยู่ในชีวิตประจำวัน ที่เด็กปฐม วัยควรรู้ โดยส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้จากทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อฝึกการคิดแบบวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปสู่ข้อ สรุปให้ได้
บทความเรื่อง การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ปฐมวัย (มิส วัลลภา ขุมหิรัญ)
ฝึกทักษะสังเกต…นำลูกสู่การเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ธรรมชาติของเด็กๆ นั้น มีความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งรอบตัวตลอดเวลา เพราะเป็นวัยที่สมองมีการพัฒนาสูงสุด หากเด็กได้รับการพัฒนาทักษะที่สอดคล้องกับธรรมชาติของเขา จะทำให้ศักยภาพในการเรียนรู้ของเขาพัฒนาได้เต็มที่ ทักษะการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์นับเป็นทักษะที่ส่งเสริมให้เด็กๆ สามารถคิดหาเหตุผล แสวงหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาได้ตามวัยของเขา
ส่งเสริมทักษะการสังเกตผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า
* ฝึกสังเกตด้วย ตา
ในการสังเกตโดยใช้ “ตา” นั้น คุณพ่อคุณแม่ควรแนะให้ลูกรู้จักสังเกตลักษณะของสิ่งต่างๆ สังเกตความเหมือน ความต่าง รู้จักจำแนก และจัดประเภท จะช่วยให้เด็กมี นิสัยในการมองสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวอย่างละเอียดรอบคอบ ต้น กิ่ง ก้านแล้ว เราควรจัดหาเมล็ดพืชหลาย ๆ ชนิดมาให้เด็กเล่นเพื่อสังเกตลักษณะรูปร่างขนาด สี และหัดแยกประเภท และจัดหมวดหมู่ อุปกรณ์ที่มีประโยชน์มากสำหรับการสังเกต คือ แว่นขยาย เด็ก ๆ มักตื่นเต้นที่ได้ เห็นสิ่งต่าง ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น และเห็นรายละเอียดอย่างชัดเจน เช่น ตัวมด ลายใบไม้ เส้นผม ผิวหนัง ก้อนหิน เม็ดทราย เป็นต้น
ในการสังเกตโดยใช้ “ตา” นั้น คุณพ่อคุณแม่ควรแนะให้ลูกรู้จักสังเกตลักษณะของสิ่งต่างๆ สังเกตความเหมือน ความต่าง รู้จักจำแนก และจัดประเภท จะช่วยให้เด็กมี นิสัยในการมองสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวอย่างละเอียดรอบคอบ ต้น กิ่ง ก้านแล้ว เราควรจัดหาเมล็ดพืชหลาย ๆ ชนิดมาให้เด็กเล่นเพื่อสังเกตลักษณะรูปร่างขนาด สี และหัดแยกประเภท และจัดหมวดหมู่ อุปกรณ์ที่มีประโยชน์มากสำหรับการสังเกต คือ แว่นขยาย เด็ก ๆ มักตื่นเต้นที่ได้ เห็นสิ่งต่าง ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น และเห็นรายละเอียดอย่างชัดเจน เช่น ตัวมด ลายใบไม้ เส้นผม ผิวหนัง ก้อนหิน เม็ดทราย เป็นต้น
* ฝึกสังเกตด้วย หู
คุณพ่อคุณแม่ทราบมั้ยว่าเด็กเล็กๆ ที่มีความสามารถในการจำแนกเสียงต่างๆ ที่ได้ยินนั้น จะมีพื้นฐานที่ดีในการเรียนรู้ภาษา ทั้งยังช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ธรรมชาติและสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาด้วย เราอาจใช้วิธีอัดเสียงที่เด็กคุ้นหู เช่น เสียงสัตว์ต่าง ๆ เสียงนก เสียงแมลง จิ้งหรีด จักจั่น เสียงน้ำไหล เสียงดนตรีชนิดต่าง ฯลฯ แล้วเปิดให้เด็กทายว่าเป็นเสียงอะไร ให้เด็กหัดสังเกตความแตกต่างของเสียงเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถเชื่อมโยงไปสู่การสอนเขาเกี่ยวกับลักษณะของแหล่งเสียงต่างๆ นั้นได้
คุณพ่อคุณแม่ทราบมั้ยว่าเด็กเล็กๆ ที่มีความสามารถในการจำแนกเสียงต่างๆ ที่ได้ยินนั้น จะมีพื้นฐานที่ดีในการเรียนรู้ภาษา ทั้งยังช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ธรรมชาติและสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาด้วย เราอาจใช้วิธีอัดเสียงที่เด็กคุ้นหู เช่น เสียงสัตว์ต่าง ๆ เสียงนก เสียงแมลง จิ้งหรีด จักจั่น เสียงน้ำไหล เสียงดนตรีชนิดต่าง ฯลฯ แล้วเปิดให้เด็กทายว่าเป็นเสียงอะไร ให้เด็กหัดสังเกตความแตกต่างของเสียงเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถเชื่อมโยงไปสู่การสอนเขาเกี่ยวกับลักษณะของแหล่งเสียงต่างๆ นั้นได้
สำหรับการฟังเสียงสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว อาจใช้วิธีให้ลูกปิดตาแล้วเดาว่าเสียงที่เขาได้ยินนั้นเป็นเสียงอะไร เช่น เสียงเคาะไม้ เคาะแก้ว เสียงตีกลอง เสียงเคาะโต๊ะ เป็นต้น การฟังเสียงที่แตกต่างกันของวัตถุเหล่านี้ เด็กจะเรียนรู้ถึงความแตกต่างของวัตถุ ซึ่งทำให้เกิดเสียงที่ต่างกันไป
* ฝึกสังเกตด้วย จมูก
การใช้จมูกดมกลิ่นเพื่อฝึกการสังเกตนั้น ควรให้ลูกได้ดมสิ่งที่มีกลิ่นเหมือนและต่างกัน เพื่อให้เขารู้จักจำแนกได้ละเอียดขึ้น การฝึกลูกในขั้นแรก คือปิดตาลูกแล้วให้ดมกลิ่นสิ่งต่างๆ แล้วบอกว่าเป็นกลิ่นอะไร กลิ่นที่นำมาให้ลูกดมควรเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน เช่น แป้ง สบู่ ผลไม้ ส้ม ดอกไม้ หัวหอม กระเทียม กะเพราะ ฯลฯ หลังจากที่ลูกสามารถจำแนกกลิ่นต่าง ๆ ได้แล้ว ควร
* ฝึกสังเกตด้วย ลิ้น
การใช้ลิ้นชิมรสอาหารต่าง ๆ เป็นกิจกรรมที่เด็กสนุกสนานเพราะสอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กที่ชอบชิม แทะสิ่งต่าง ๆ อยู่แล้ว การให้เด็กได้ชิมรสต่าง ๆ นี้ก็เพื่อให้รู้จักความแตกต่างของรสชาติ และรู้จักลักษณะของสิ่งที่นำมาใช้เป็นอาหารดียิ่งขึ้น
* ฝึกสังเกตด้วย ผิวหนัง
การเรียนรู้ด้วยการใช้มือสัมผัส แตะ หรือเอาสิ่งของต่าง ๆ มาสัมผัสผิวหนัง ช่วยให้เด็กได้ เรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของวัตถุต่าง ๆ และเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในระดับสูงขึ้นไป คุณพ่อคุณแม่อาจนำวัตถุต่างๆ ใส่ถุง ให้ลูกปิดตาจับของในถุงนั้น แล้วให้บอกว่าสิ่งที่จับมีลักษณะอย่างไร เช่น นุ่ม แข็ง หยาบ เรียบ ขรุขระ เย็น อุ่น บาง หนา
จากนั้นอาจารย์ก็ให้แบ่งกลุ่มการนำเสนอเพื่อที่จะทำแผนการจัดประสบการณ์
นำภาพที่ประทับมาฝากดังนี้ค่ะ
เทคนิคการสอนของอาจารย์
ให้ฝึกนักศึกษาระดมความคิด และการตั้งคำถามชวนคิด
การประเมิน(Assessmen)
การประเมินตนเอง
ตั้งใจเรียนดีค่ะ แต่งกายเรียบร้อยเหมาะสม ช่วใแสดงความคิด
เห็นกับเพื่อนและครู
การประเมินเพื่อน
เพื่อนส่วนใหญ่แต่งการเรียบร้อยดีมาก ตั้งใจเรียนเข้าเรียนตรงเวลา
ประเมินอาจารย์
อาจารย์ใช้เทคนิคการสอนแบบร่วมมือ และให้นักศึกษาได้ระดมความคิดกัน และสอดแทรกรายวิชาอื่นได้อย่างสร้างสรรค์
การนำไปประยุกต์ใช้
นำความรู้ที่ได้พัฒนาให้ดี และต่อเนื่องสม่ำเสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น